อาการปวดของแม่ท้อง แบบไหนผิดปกติ แบบไหนคือไม่น่าห่วง เช็กเลย !

ว่าด้วยเรื่อง อาการปวดของแม่ท้อง เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับคุณแม่หลายคน เพราะบางท่านอาจจะแยกระดับความปวดด้วยตัวเองยังไม่ได้ จนต้องไปหาอ่านข้อมูลจาก Google อยู่เป็นประจำ แต่ก็มีหลากหลายข้อมูลจนไม่สามารถเข้าใจได้ทันที

วันนี้ Mamastory จะพาไปดูค่ะ ว่ามีอาการปวดแบบไหนบ้างที่มักเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ และแบบไหนเป็นอาการเร่งด่วน ที่ควรรีบไปพบแพทย์ หากพร้อมแล้วไปดูกันเลยค่ะ !

อาการระหว่างตั้งครรภ์ ที่มักพบได้บ่อย

ว่าด้วยเรื่องของการตั้งครรภ์ ตลอด 9 เดือน มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อคุณแม่หลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นอาการทางกาย หรืออาการทางใจ ที่มีความเกี่ยวข้องกันหลายส่วน โดยเฉพาะเรื่องของระดับฮอร์โมนที่แปรปรวนอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีเรื่องของขนาดตัวลูก ที่ค่อย ๆ ขยายตัวใหญ่ขึ้น จนทำให้แม่ท้องรู้สึกไม่สะดวกสบายอีก ทำให้คุณแม่หลายท่านไม่สบายตัวได้ ซึ่งอาการระหว่างตั้งครรภ์ที่สามารถพบได้ จำแนกได้ตามประเภทดังนี้

1. อาการแพ้ท้อง

เกิดจากการที่ฮอร์โมนมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ อาจทำให้แม่ท้องเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เพลียมากกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่มักดีขึ้นภายใน 3 เดือนแรก หากแม่ท้องมีอาการรุนแรงมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อดูว่ามีความผิดปกติอื่นอีกหรือไม่

2. ผ้าขึ้นหน้า ผิวคล้ำ

เกิดจากการที่ฮอร์โมนกระตุ้นเซลล์เม็ดสีใต้ผิวหนัง เป็นการรวมตัวมากผิดปกติ ทำให้บางส่วนมีสีผิวที่คล้ำขึ้นบริเวณใบหน้า คอ รักแร้ เส้นกลางท้อง ลานนม และหัวนม แต่อาการนี้จะค่อย ๆ หายไปหลังคลอดแล้ว 3-6 เดือนให้หลัง ซึ่งอาการนี้ต่างจากหน้าท้องลาย

3. อาการตกขาว

ฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ เกิดการกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างมูกในช่องคลอดมากขึ้น จนเกิดเป็นตกขาวสีขุ่น และมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนคลอด ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้

4. ปวดหลัง

เกิดจากการที่ต้องแบกรับน้ำหนักของมดลูก และทารกที่มีขนาดตัวใหญ่ขึ้น รวมถึงการนั่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะ และการยกของหนัก ซึ่งทางแก้ต้องเริ่มจากการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงงดการทำงานหนัก ในช่วงที่อายุครรภ์เริ่มมากขึ้น หรือช่วงใกล้คลอด

5. ตะคริวที่น่อง

โดยส่วนใหญ่แล้ว มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อที่น่องมากเกินไป ประกอบกับระดับแคลเซียมในเลือดลดลง จากการสร้างกระดูกของทารก ทำให้แม่ท้องมีอาการตะคริวบ่อย ซึ่งควรเพิ่มการพักผ่อน และลดการเดินจะช่วยได้เช่นกัน

6. ขาหรือเท้าบวม

โดยส่วนใหญ่แล้ว ก่อนคลอด 3-4 เดือน คุณแม่จะมีอาการบวมที่ขาหรือเท้าได้ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่หนักมาก สังเกตได้จากการใช้มือกดตาม หน้าแข้งหรือหลังเท้า แต่ถ้ารอยกดค่อนข้างบุ๋ม หรือลึกมากผิดปกติ อาจเป็นการแสดงภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น ครรภ์เป็นพิษ หรือโรคไตบางชนิด ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ทันที ก่อนที่จะเป็นอันตรายกว่าเดิม

7. ปวดอุ้งเชิงกราน

เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการขยายตัวรองรับขนาดของทารก อาจทำให้เจ็บแบบหน่วง ๆ บางครั้งคุณแม่อาจปวดหนักมาก ถึงขนาดเคลื่อนไหวไม่ได้เลยทีเดียว บางรายอาจพบภาวะ Round ligament syndrome คือ เป็นภาวะที่เอ็นยึดมดลูกยืดเร็วเกินไป จนทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้ปวดหน่วงท้องน้อยทั้งสองข้าง จะปวดมากเป็นพิเศษขณะเดิน และช่วงที่พลิกตัวค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง : ปวดอุ้งเชิงกราน อาการขณะตั้งครรภ์ หนึ่งในพัฒนาการตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องควรรู้ !

อาการปวดแบบไหนที่เป็นอันตราย

1. สัญญาณเตือนคลอดก่อนกำหนด

อาการปวดท้องพร้อม ๆ กับการมีเลือดไหล ออกมาจากทางช่องคลอด เป็นสัญญาณที่จะบอกว่า คุณแม่มีอาการแท้งลูก หรือคลอดก่อนกำหนด รวมถึงลักษณะอาการอื่น ๆ ด้วย เช่น ปวดเมื่อเวลามีประจำเดือน หรือปวดเมื่อยเหมือนไม่สบาย ซึ่งคุณแม่ต้องสังเกตอาการตัวเองดี ๆ

2. ตั้งครรภ์นอกมดลูก

สำหรับคุณแม่มีอาการปวดท้อง อย่างเฉียบพลันในช่วงไตรมาสแรก ก่อนที่ได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ แนะนำว่าให้คุณแม่ไปพบคุณหมอทันทีค่ะ เพื่อดูว่าเป็นอาการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือไม่ ถ้าปล่อยไว้ตัวอ่อน จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้อวัยวะฉีกขาดได้ ซึ่งการรักษามีทั้งการผ่าตัดและไม่ใช่การผ่าตัด ขึ้นอยู่กับอาการค่ะ

3. เจ็บท้องใกล้คลอด

การหดตัวของมดลูก เป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่า ลูกน้อยใกล้จะออกมาแล้ว ซึ่งอาจจะมีอาการ เจ็บท้องหลอก (Braxton hicks contraction) ในบางครั้ง แม่ท้องต้องดูว่าตัวเองมีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยแค่ไหน หากพบว่าท้องเริ่มแข็งตัว เจ็บครั้งละประมาณ 1-2 นาที หรืออาจนาน 5 นาทีเลยก็ได้ แต่ถ้ามีอาการอื่นอย่าง มูกเลือด น้ำเดิน ปวดถี่ขึ้น และมีการปวดหัวหน่าว กับปวดหลังด้วย แสดงว่าปวดท้องจริง ต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ !

นอกจากนี้คุณแม่บางราย อาจมีอาการปวดท้องอื่นที่นอกเหนือจากปัญหาการตั้งครรภ์ด้วยก็ได้ค่ะ เช่น ปวดแสบปวดร้อนกลางอก แน่นหน้าอก หรือปวดท้องจากโรคนิ่ว ไส้ติ่งอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งถ้าคุณแม่ปวดมาก ๆ และดูแล้วว่าไม่มีการปวด ที่เหมือนกับข้อต่าง ๆ เหมือนกับด้านบน ควรปรึกษาคุณหมอนะคะ อย่าปล่อยให้ปวดนาน ๆ เพราะเกิดอันตรายทั้งแม่และลูกได้ค่ะ

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

หมอนัดตรวจครรภ์ เป็นเรื่องสำคัญไหม จำเป็นต้องไปให้ครบนัดหรือเปล่า ?

คนท้อง ปวดฟัน เกิดจากสาเหตุอะไร ถอนฟัน อุดฟัน ได้หรือไม่?

ฝุ่น PM2.5 แม่ท้องและทารกเสี่ยงหนัก เมื่ออยู่กลางแจ้ง ต้องระวัง!

ที่มา : 1, 2